วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

ดินเลน

...เรื่องสั้นมิติย้อนยุค...

ดินเลน

เรื่องที่ผู้เขียนได้รับแรงบันดาลใจมาจากชีวิตจริงของคนเมื่อราวห้าสิบปีก่อน




ไม่รู้จักกี่ครั้งแล้ว...  ที่..เนียมเป๋ หรือ ไอ้เนียม ขาเป๋ ซบหน้าลงกับหัวเรืออย่างหมดเรี่ยวแรง ปากก็ส่งเสียงพึมพำว่า
ถ้าพ่อมีเงินรักษา  หนู...
อาลั้ง เฝ้ามองดูผัวรักอย่างหดหู่ใจทุกวัน  นางไม่อาจจะสรรหาคำใดมาปลอบโยนได้ในเมื่อหัวใจนางก็โศกเศร้าอาดูรเหมือนตายทั้งเป็นเช่นเดียวกัน  ลูกจิน จากไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ  ทั้งสองมีลูกสาวอยู่คนเดียวแล้วแกก็เป็นเด็กน่ารักออกอย่างนั้น
 ..ผิดด้วยหรือ ที่เกิดมาจน..  ใครว่าไม่ผิดล่ะ  ใครๆไม่ลองมาเกิดเป็นพ่อแม่จนๆที่ไม่มีเงินรักษาลูกดูบ้างจะรู้สึกผิดแค่ไหน...
สี่ห้าเดือนผ่านไป  สองผัวเมียยังคงแจวเรือออกไปรับจ้างขนมะพร้าวเช่นเคยทั้งที่แทบไม่ได้พูดจาอะไรกันเลยทั้งวัน  พอกลับมาเย็นผัวก็เอาเรือออกไปเอาดินเลนมาถมร่องสวน  ถมไปๆถมแล้วก็ถมลงไปอีก  ทำอย่างกับร่องสวนมันไม่มีวันจะเต็มได้อย่างนั้นแหละ  ทำอยู่อย่างนี้ทุกวันจนร่องสวนแถบริมตลิ่งกลายเป็นลานบ้าน  บางวันฝ่ายผัวกลับมืดผิดปกติจนเมียอดถามไม่ได้
พี่ไปทำอะไรนักหนา  ทำไมไม่พักมั่ง  ยังทำใจเรื่องลูกไม่ได้เหรอ  ฉันชักจะห่วงแล้วนะ
จะว่าอย่างงั้นก็ใช่เนียมยอมรับ แต่พี่มาได้ความคิดใหม่ว่าสวนบ้านเรามีไร่กว่าๆนี่เอาไว้ปลูกอะไรๆแค่สองร่องก็พอ  ที่เหลือถมเป็นลานกว้างๆไว้เก็บของเผื่อซื้อขายดีกว่า
ก็ดีนะพี่  แต่พี่อย่าไปคนเดียวค่ำมืดสิจ๊ะ  ให้ฉันไปช่วยพายช่วยถ่อถือท้ายเถอะ
พี่กลัวลั้งเหนื่อย  ไหนจะงานบ้าน ทำครัว
ไม่หรอกน่า  ฉันทำได้
...................................
ไปทำอะไรวะเนียม  ไปทำงานที่ทำให้ตายก็ไม่รวยน่ะเหรอเสียงเพื่อนบ้านเย้าแหย่หัวเราะกันเกรียวยามที่เรือแล่นสวนกัน
เอ็งมันเป็นคนมีหลักมั่นทางใจ มีสัจจะ  เนียมเอ๋ยพระครูพูดให้กำลังใจ ข้ารู้ว่าเอ็งต้องทำใจของเอ็งได้  จะเอาอะไรกับชีวิตที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนเล่า  มีคู่ครองที่ซื่อสัตย์สุจริตและดีต่อกันก็เป็นสุขเท่าไหร่แล้ว  ข้าเชื่อว่าวันหนึ่งเอ็งต้องมีอยู่มีกินอย่างสุขสบาย
  เนียมนึกถึงคำพูดหลายต่อหลายคน  แม้ว่าคนแถบนี้จะหนีไปทำงานที่บางกอกกันเกือบหมดแต่เนียมก็ปลงใจแล้วว่าจะอยู่ที่เดิมที่นี่  จะหวังอะไรนักหนากับชีวิตลูกกำพร้าขาเป๋ที่การศึกษาต่ำอย่างเขานอกจากเอาแรงออกสู้งาน  ถ้าเหนื่อยนักก็นอนงีบที่หัวเรือใต้ร่มไม้สักพักในยามบ่ายหรือหากไม่มีกินจริงๆก็ยังอาจจะพอพึ่งวัดได้บ้างเป็นบางมื้อ
ดินเลนอันเกิดจากการตกตะกอนของน้ำที่ชะล้างหน้าดินนั้นมีอยู่ชั่วนาตาปีตามแม่น้ำ ลำคลอง ร่อง และลำกระโดง  นอกจากไม่ค่อยจะมีใครต้องการแล้วยังมีคนจ้างให้ขุดลอกไปทิ้งด้วยซ้ำเพื่อให้น้ำใส  เมื่อมิใช่สมบัติอันเป็นสิทธิของผู้ใดมันก็คงไม่ผิดที่จะเอามาเป็นทรัพย์สินสำหรับไอ้เนียมเป๋คนยากผู้ซึ่งยินดีและถือเอาว่าเป็นของขวัญล้ำค่าที่แม่ธรณีและแม่คงคาท่านประทานให้มา
ขยันเกินไปรึเปล่าลั้งบีบไหล่และลำแขนอันล่ำสันของผู้ผัวอย่างปลอบประโลม
ถึงแรงขาไม่ดีนักแต่แรงแขนพี่ไม่แพ้ใคร  ลั้งก็รู้
ก็นั่นแหละ  อย่าให้ป่วยเสียก่อนถึงรู้ตัว
ไม่ล่ะน่า  พี่รู้ผ่อนหนักผ่อนเบาอยู่  ขอแค่ลั้งอย่าคิดว่าพี่บ้าเพี้ยนไปก็แล้วกัน
ใครว่าล่ะ  พี่น่ะขยันเหมือนอากงที่ม้าเคยเล่าให้ฟังเลย
คงเป็นเพราะลั้งขยันสวดมนต์มั้ง
ดี  ฉันจะได้สวดเยอะๆแผ่บุญให้ลูก  นี่  พระครูให้คาถาฉันด้วย
คาถาอะไร
คาถาร่ำรวย
หือ..เนียมตาปรือเหมือนเริ่มจะง่วง สวดไปเถอะพี่จะคอยฟัง
...........................................
ไม่ว่าจะอยู่ในที่น้ำตื้นหรือน้ำลึกซึ่งต้องอึดหายใจยาว  ในห้วงนึกของเนียมก็เหมือนเห็นได้หมดทั่วทุกทิศในท้องน้ำทั้งเวิ้งวุ้งชะวากใหญ่น้อยอันเป็นที่นอนก้นตกตะกอนของดินเลน  ยิ่งทำไปยิ่งชำนาญจนมันรู้ว่าต้องเอาเท้าคลำเหยียบหยั่งดูว่ามีขวากหนามของแหลมคมสิ่งใดเป็นอันตรายบ้างแล้วจึงค่อยๆล้วงควักหรือกอบอุ้มเอาขึ้นมา  อึดใจเดียวยามอยู่ใต้น้ำจากที่แต่ก่อนนั้นเคยทำได้เพียงชั่วครู่ก็กลายเป็นยาวนานจนอีกฝ่ายที่รอบนเรือตกใจ  วันแล้ววันเล่า แม้จะปวดร้าวไปทั้งตัวมันกลับยิ่งพอใจฝึกตัวเองให้แกร่งเหมือนว่าวต้านลม  จนกระทั่งแผงอกใหญ่ผึ่งผายทั้งกล้ามเนื้อแข็งแกร่งไปทั้งตัว
แม้จะค่ำมืดมีแค่ตะเกียงไฟฉาย และแสงเดือน มันก็ยังทำงานของมันได้ไม่รู้จักท้อ  บางคราคนผ่านมาเห็นก็เข้าใจว่าสองผัวเมียออกหาปลา  บางคนก็ว่ามันบ้างานเหมือนอย่างกับคนหนีภัยแล้งภัยสงครามมาจากต่างบ้านต่างเมืองก็ไม่ปาน
เวลาผ่านไปปีกว่า  เนื้อที่รอบๆกระต๊อบริมคลองก็ราบเรียบเป็นหน้ากลอง  สองผัวเมียเร่งทำคันดินสูงรอบด้านกันการพังทลายแล้วปลูกไม้ยืนต้นที่รากหยั่งลึกยึดคันดินจำพวก ไผ่ ชมพู่ มะม่วง มะขาม สะเดา ขี้เหล็ก และกล้วย   ที่ริมน้ำยังทำสวนผักและปลูกดอกไม้แล้วปรับแต่งท่าน้ำหัวสะพานเป็นที่เจริญตา  พอใส่บาตรที่ท่าน้ำแล้วอาลั้งก็จะมากรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลเสียงดังพึมพำอยู่ตรงโคนต้นมะขามหน้าบ้านเป็นประจำ  แล้วอยู่มาวันหนึ่งจึงบอกกับผัวว่า
พี่  ฉันฝันดี
ฝันดีว่ายังไงล่ะ
ฝันเห็นลูกจินลั้งหัวเราะน้ำตาคลอหน่วย เห็นลูกยิ้มมีความสุขแล้วแกก็บอกว่าอยากจะกลับมาอยู่กับพ่อแม่อีก
ก็ดีแล้วเนียมโอบกอดแล้วลูบผมเมียเบาๆแล้วชะงักเมื่อฉุกคิดแต่เอ..  หรือว่า
อาจจะ  สามเดือนแล้วมั๊งฉันยังไม่แน่ใจ
ลั้ง...  เราจะมีลูกเขาอุทานอย่างดีอกดีใจ
....................................
เนียมไม่ยอมให้เมียออกไปช่วยงานนอกบ้านอีกแล้วและตัวเขาเองก็ดูเหมือนจะมีแรงทำงานได้มากกว่าเดิมอีกหลายเท่า  นอกจากมะพร้าวจะเต็มลานแล้วยังมีกองดินเลนสูงท่วมหัวคนอีกสามสี่กอง  บางกองนั้นแห้งแล้วและบางกองก็ยังเปียกนิ่ม
ดินนี่ขายไม๊
เฮียฮง พ่อค้าเรือลากขนของถามขึ้นในตอนเช้าวันหนึ่ง
ก็อยากจะขายนะเฮียแต่ฉันยังไม่เคยตั้งราคาเนียมออกตัว เฮียช่วยแนะนำฉันบ้างเถอะนะ  พอให้ฉันได้มีกินมีอยู่สัมมาหาเลี้ยงลูกที่มันกำลังจะเกิดมา
จะเป็นไรเล่า  ไอ้เนียมเอ้ยพ่อค้าเรือยิ้มกว้าง ข้าจะช่วยคิดนะ  ข้าว่าดินแห้งนี่ตั้งราคาพอๆกับดินถมที่ทั่วไปก่อนพอให้คนรู้จักเรา  คนที่รู้เรื่องปลูกต้นไม้ดีเขาน่าจะรู้ว่ามีปุ๋ยดีกว่า  ส่วนดินเปียกนี่ข้าจะลองให้เขาใส่ถุงไปวางขายสนามหลวงดู
จากวันนั้นก็มีคนสั่งดินเข้ามาเรื่อยจนหาให้แทบไม่ทันต้องไปว่าจ้างเด็กวัดและชาวบ้านหกเจ็ดคนมาช่วย  ฝ่ายอาลั้งก็ขยันใส่บาตรทำบุญและสวดมนต์ไหว้พระมากขึ้นจนได้ลูกสาวสมใจทั้งสองจึงพากันตั้งชื่อว่าลูกเอื้อมหรือเอื้อมพร
ผู้คนทั้งหลายเริ่มจะเห็นคุณค่าของดินเลนพร้อมกับไอ้เนียมคนยากแห่งคลองมหาสวัสดิ์ว่ามันช่างมีอัธยาศัยและเป็นคนที่รักษาสัญญาจนขึ้นชื่อ  มาถึงวันนี้แล้วต่อให้เนียมสั่งดินจากที่อื่นมาขายผู้คนเขาก็ยังยินดีที่จะซื้อกับเนียมเป๋  ในที่สุดเขากับเมียจึงปรึกษากันว่าจะหารถดั๊มซักคัน
เนียมจะออกกี่คันล่ะเสี่ยจึง  เถ้าแก่ใหญ่แห่งนครปฐมถาม
คันเดียวครับเสี่ย  เอาพอผ่อนได้เนียมตอบอย่างเจียมตัว
สำหรับคนอย่างลื้อ  ห้าคันอั๊วก็ให้ได้เลย เอาไหมล่ะ
อย่าล้อเล่นสิครับเสี่ย  ผมมันไม่มีหลักทรัพย์อะไร
ไม่ได้ล้อเล่นเสี่ยจึงหัวเราะ อั๊วรู้จักคนอย่างลื้อแค่นี้ก็พอแล้ว  อาฮงกับพระครูอั๊วก็รู้จักดี
ถ้าออกสองคันจะเสี่ยงไปรึเปล่านะ
ซักสามเถอะ  จะได้สู้ตลาดเขาได้  มีอะไรก็ปรึกษาอาฮงได้นี่นา
มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์แท้ จนเนียมไม่อยากเชื่อ  เพียงไม่กี่ปีเขาได้งานรับเหมาถมที่ตั้งยี่สิบกว่าแห่งจนเงินทองไหลเข้ามามากพอที่จะซื้อที่ริมคลองเพิ่มขึ้นอีกเจ็ดไร่
.....................................................
ดวงตาที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดลอกต้อกระจกมาไม่นานทำให้คนอายุร่วมแปดสิบอย่างเขาได้เห็นโลกสดใสพอๆกับเมื่อตอนห้าสิบกว่า  เบื้องหน้า หลานชายนักว่ายน้ำวัยสิบแปดปีคุกเข่าลงตรงหน้ารถเข็นวิลแชร์พร้อมกราบลงที่ตักแล้วเอ่ยขึ้นว่า
ผมต้องลบสถิติเดิมของตังเองให้ได้  แต่ต้องขอรับพรจากคุณปู่ก่อนเพราะว่าปอดที่แข็งแรงยอดเยี่ยมของผมได้รับการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ คือ  ดี เอ็น เอ มาจากคุณปู่
ขอให้สำเร็จสมความตั้งใจนะลูก
เด็กหญิงชั้นอนุบาลก็กระแซะเข้ามาเกาะแขนปู่บ้างก่อนจะเอ่ยถามว่า
แล้วหนูได้รับ ดี เอ็น เอ จากคุณปู่ไม๊
ได้สิลูกผู้เป็นพ่อที่ยืนอยู่ด้านหลังตอบให้แทน อยู่ในตัวหนูเรียบร้อยแล้ว
คุณพ่อขาเด็กหญิงช่างซักต่อคุณปู่ทำ ดี เอ็น เอ ยากไม๊คะ
ยากมากลูก  แล้วพ่อจะเล่าให้ฟัง  อย่าเพิ่งไปกวนคุณปู่
จากนั้น ทั้ง พ่อ แม่ และน้องสาวคนเล็กชั้นประถมก็พากันตามไปเชียร์  เขายังแลเห็นรถเก๋งสีเทาวิ่งเลียบคลองไปอย่างช้าๆจนลับไปจากสายตา
จากสวนลอยฟ้าบนตึกชั้นห้า  เขาทอดสายตามองแนวคดโค้งของ ลำคลองมหาสวัสดิ์  เห็นมีแต่คุ้งน้ำหน้าวัดบริเวณท่าข้ามที่มีต้นไทรใหญ่เท่านั้นแหละที่ยังเหลือสภาพคล้ายเมื่อห้าสิบปีก่อนอยู่บ้าง  ทำให้หวนนึกย้อนไปถึงชีวิตในอดีตของเขา  ไอ้เนียมคนยากผู้ซึ่งผุดดำผุดว่ายอยู่อย่างนั้นวันแล้ววันเล่า..




ผลงานของ ชุนคำ  จิตจักร
ลงพิมพ์ในนิตยสารมหามงคล ปีที่ 1 ฉบับที่  1 ประจำเดือนมกราคม 2553

ไม่มีความคิดเห็น: