ลี้ลับสองฝั่งโขง...
ก่อนอื่น ขอยกเรื่องราวของการระลึกชาติซึ่งเล่าขานจนเป็นที่รู้จักกันดีในแถบลุ่มน้ำสองฝั่งโขงมาเป็นเรื่องนำ คือเรื่องของ หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรี บางระจัน จ.สิงห์บุรี ผู้มี อตีตังสญาณ และคุณธรรมสูงส่งที่คนไทยเคารพรัก ท่านจำอดีตชาติได้มาตั้งแต่เด็กแล้ว นอกจากนี้ยังระลึกย้อนไปอีกไกลถึงสมัยพุทธกาลเมื่อครั้งได้ร่วมทำบุญตักบาตรพระอรหันต์เจ้า ๕๐๐ รูป เมื่อคราวทำปฐมสังคายนา และยังเคยช่วยในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระพุทธองค์ด้วย ในลำดับต่อมาไม่ว่าเกิดในแคว้นใด ที่ไหน เป็นใคร และตายเมื่อใดก็จำได้หมด และที่สองฝั่งโขงนี้ได้ท่องเที่ยววนเวียนเสวยภพชาติมาไม่น้อยเลย
ในชาตินี้ท่านมาเกิดกับพี่ชายในอดีตซึ่งเคยรักและตามใจน้อง พอตอนอายุราว ๑๐ ขวบ ถูกพ่อเฆี่ยนตีก็ถึงกับตะโกนว่าพ่อว่า
“พ่อโกหก พ่อโกหก”
“พ่อสงสัยจึงถามว่า
“ทำไมลูกพูดแบบนี้”
ทีแรกท่านไม่ยอมบอกแต่พอแม่เข้าไปปลอบถามว่าทำไมจึงได้เล่าเรื่องอดีตชาติให้แม่ฟังว่า
“พ่อไม่รักษาคำพูด ว่าจะไม่ทอดทิ้ง ไม่ตี ไม่ดุ แต่พ่อยังหลงตีลูกอีก ตีลูกก็ถูกน้องชาย น้องชายมาเกิดด้วยพี่ชายก็ไม่รู้จัก”
เรื่องพระไตรปิฏกนี้แม้ไม่ได้เรียนก็รู้และจำได้ไม่ลืมเพราะได้ เรียนรู้ คัดลอก ท่องจำ สร้าง และชำระ มาหลายภพชาติแล้ว
สำหรับเศษกรรมเรื่องผู้หญิงยังได้บอกเล่าไว้เป็นธรรมสังเวชว่า ในชาติหนึ่งนั้นเป็นชายหนุ่มที่นึกพอใจหญิงสาวบ้านใกล้เคียงจึงเข้าไปพูดคุยด้วย แต่ถูกฝ่ายหญิงพูดลำเลิกท้าวความไปในอดีตชาติว่า
“ในชาตินั้นท่านเป็นผู้ทำให้ดิฉันถูกทุบตี ถูกจับผูกทรมานให้อดอาหารจนท้องกิ่วตาย พอมาชาตินี้จะมารักดิฉันทำไม”
ต่อมาท่านระลึกได้ว่า ในอดีตหนึ่งนั้นเป็นสมภารเจ้าวัด วันหนึ่งขณะนอนป่วยได้มีสุนัขตัวเมียได้มาลักลอบกินอาหารที่เด็กวัดเก็บไว้ ท่านร้องบอกเด็กวัด พวกเด็กวัดจึงไล่ตีแล้วจับไปผูกไว้กับรั้วให้ห่างจากที่สมภารนอนป่วย ด้วยความที่เด็กวัดห่วงแต่ความเจ็บป่วยและยุ่งยากวุ่นวายกับการมรณภาพของสมภาร ทำให้ลืมนึกถึงสุนัขทำให้มันต้องอดอาหารและตายลงอย่างทรมาน เมื่อมาระลึกได้อย่างนั้นจึงทำให้ท่านเกิดความสลดสังเวชใจยิ่งนัก
(๑) น้องน้อย (คุณทวดลอยระลึกชาติ)
เรื่องน้องน้อยนี้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รู้จักกันดีของชาวบ้านในละแวก ตำบลนาคูและตำบลกุดสิมคุ้มใหม่ อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานราวสามชั่วคนแล้วแต่ก็เป็นเรื่องราวที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง มีพยานรู้เห็นกันมากและก็ยังฝังอยู่ในความทรงจำของลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากคุณทวด “ลอย”
คุณยายทวด “ลอย” ท่านมีเชื้อสาย ชาวผู้ไท(หรือภูไท) ซึ่งสืบเชื้อสายมาทางเมืองวังฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง เดิมนั้นเล่าขานกันว่าอพยพลงมาจากนาน้อยอ้อยหนู ก่อนที่ท่านจะอพยพมาอยู่บ้านหว้าน ตำบลนาคู นั้น ท่านอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเหล่านายอซึ่งอยู่ใกล้เมืองวังอันเป็นถิ่นเมืองคนผู้ไทที่อยู่ติดกับเมืองลาว มาอยู่ประเทศไทยสมัยที่เริ่มมีพระราชบัญญัติให้ใช้นามสกุล
เรื่องราวของคุณทวดนั้นนอกจากจะรับฟังจากคำบอกเล่าของท่านเองแล้วก็ยังได้รับคำยืนยันจากชาวบ้านที่เป็นบ้านเดิมคือคนบ้านเหล่านายอและคนที่อพยพมาบ้านหว้าน เพราะความหลังของท่านนั้นเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ ทั้งเป็นเรื่องที่ลี้ลับพิสดาร น่าสงสาร และน่าประทับใจ
ท่านเกิดมาในครอบครัวชาวไร่ชาวนาธรรมดาที่หมู่บ้านเหล่านายอที่อยู่ฝั่งซ้าย พอจำความได้ ท่านก็พร่ำพูดถึงแต่เรื่องราวในอดีตชาติ ในชาตินี้พ่อแม่ตั้งชื่อให้ท่านว่า “ลอย” แต่ท่านบอกว่าชาติก่อนนั้นท่านชื่อ “ลา” อยู่กับพ่อแม่และพี่สาวซึ่งอยู่หมู่บ้านในคุ้มที่ไกลกันออกไป พอพูดอย่างนี้แล้วก็รบเร้าให้พ่อแม่พากลับไปเยี่ยมบ้านเดิม
พ่อกับแม่สังเกตดูลูกก็เป็นคนสติสมบูรณ์ดีทุกอย่างซ้ำยังพูดจาฉะฉานกว่าเด็กทั่วไป หลายๆคนที่ได้ยินได้ฟังก็อยากจะพิสูจน์ความจริง พ่อแม่ก็เลยพาไปตามที่เด็กหญิงว่า
พอไปถึง เด็กหญิงลอยก็แสดงท่าทีว่าจดจำสิ่งแวดล้อมที่นั่นได้ทุกอย่างและคุ้นเคยมาก ไปที่บ้านของคนที่บอกว่าเป็นพ่อแม่เก่าแล้วก็พวกพี่สาว พอพบกันก็ทักทายได้ถูกต้องทุกคนเล่นเอางงไปตามๆกัน เธอพูดถึงเรื่องราวสมัยที่เกิดเป็นสาวลา บอกว่าเป็นน้องคนสุดท้องเกิดมาอาภัพเป็นคนขาลีบ มีโรคประจำตัว ไม่ได้แต่งงานกับใคร อยู่กับพ่อแม่ อยู่กับพวกพี่ๆ รักและผูกพันกับพวกพี่สาวมาก เขาไปไหนๆก็ตามพวกพี่เขาไป ต่างฝ่ายต่างพากันอัศจรรย์ใจมากทั้งพ่อแม่เก่าและพ่อแม่ใหม่ มีการพิสูจน์คือเอาของใช้เก่าๆออกมาให้ดูหลายชิ้น เช่น พวกกำไล แพรพับ เสื้อผ้าและของใช้ต่างๆเด็กหญิงลอยก็ชี้ได้ถูกว่าอันไหนของเขา แม้กระทั่งที่อยู่ที่กิน หนทางไปมา เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น แม้แต่เรื่องส่วนตัวเล็กๆน้อยๆก็ยังจำได้
นับเป็นเรื่องราวไม่คาดคิดที่ดูค่อนข้างอัศจรรย์และเหลือเชื่อแต่ทุกคนก็เชื่อ เพราะเรื่องที่บอกนั้นถูกต้องตามความเป็นจริงทุกอย่าง ไม่มีใครอีกแล้วที่จะจดจำเรื่องราวมากมายทั้งหมดได้ละเอียดลออเท่ากับเจ้าตัวของเขาเอง ต่างคนต่างก็ร้องให้ด้วยความรักและคิดถึงกัน ก็ถือกันว่าเป็นพ่อแม่พี่น้องกันจริงๆ
เมื่อพวกพี่สาวถามถึงเรื่องราวของความตายและการเวียนกลับมาเกิด เด็กหญิงลอยก็ได้เล่าถึงเรื่องราวของชีวิตหลังความตายให้ฟังบอกว่า
เมื่อตายด้วยโรคฝีมะเร็ง เขาก็เอาไปฝังที่ป่าช้าก็อยู่ที่นั่น ที่ป่าช้านั้นจะอยู่กันเป็นหมู่บ้าน ซึ่งบ้านนั้นมีลักษณะเป็นรูอยู่บ้านใครบ้านมัน อยู่กันเยอะ เมื่อตายแล้วนี่วิญญาณก็ยังรู้ตัวดี ยังจดจำครอบครัวความหลังได้ทุกอย่าง ยังรักใคร่ผูกพันมีความโศกเศร้าโหยหาคิดถึงทุกคนทางบ้านเป็นที่สุดแต่ก็มาที่บ้านไม่ได้เพราะว่ามีผู้รักษาเขตมาห้ามไม่ให้เข้าหมู่บ้าน เวลาพวกพี่สาวเขาไปนาไปสวนก็วิ่งตามร้องเรียกพวกพี่ๆเขาก็ไม่ได้ยิน พูดกับเขาๆก็ไม่พูดด้วย เขาไม่รู้ไม่เห็น ก็เสียใจ เวลาเขาเดินกลับบ้านก็ตามหลังเขาไป พอไปถึงเขตบ้านก็มีผู้รักษาเขตมาห้ามไม่ให้เข้าไปกับพวกพี่ๆ
มีอยู่วันหนึ่ง พวกพี่ๆเขาพากันไปสวนเดินผ่านป่าช้าคิดถึงน้องก็ส่งเสียงเรียกว่า
“ลาเอ้ย.. ไปสวนอ้อยกับพี่นะพี่จะเอาอ้อยให้กิน”
ได้ยินเสียงพี่เรียก ดีใจที่สุด.. วิ่งตามพวกพี่ๆเขาไป เขาไปในสวนอ้อย พอเขาตัดเอาอ้อยเสร็จแล้วก็พากันเดินกลับแต่เขาไม่ได้เอาอ้อยให้ เขาลืม ก็ขอเขาๆก็ไม่ได้ยิน ทำยังไงๆก็พูดกันไม่รู้เรื่องเลยไปเขย่าต้นไม้ เขาตกใจกลัวกันใหญ่ว่าผีหลอกก็พากันวิ่งหนีก็วิ่งตามพวกพี่ๆ ตามมาจะเอาอ้อย ตามมาเรื่อยๆก็พอดีปลายแหลมของใบที่ยอดอ้อยทิ่มเข้ามาที่ตาเจ็บปวดมาก ก็เสียใจร้องให้กลับไปที่ป่าช้า
ถึงเทศกาลที่มีงานบุญเพ็ญเดือนแปดและเดือนสิบก็คือวันสารทซึ่งทางภาคอีสานจะเรียกว่าบุญข้าวสาก บุญห่อข้าว หรือบุญข้าวประดับดิน ชาวบ้านพร้อมใจกันทำบุญใหญ่อุทิศหาคนตาย ทั้งพ่อแม่และพวกพี่สาวต่างก็ตั้งใจทำอาหารห่อข้าวและทำขนมทำบุญอุทิศไปให้ลาน้องน้อยคนสุดท้องด้วยความคิดถึง วิญญาณของลาที่ป่าช้าก็ได้รับและได้กินของพวกนั้น
หลังจากนั้นก็รู้ตัวว่าจะถึงวาระมาเกิดก็มา มาด้วยกันกับวิญญาณอีกดวงหนึ่ง แต่มาแล้วก็หวนกลับไปสำรวจดูที่ป่าช้าอีกครั้ง ไปดูบ้าน ก็เห็นบ้านของวิญญาณอีกดวงที่มาด้วยกันว่าบ้านเขายังดีอยู่เขาก็เลยต้องอยู่ต่อ แต่ว่าบ้านของลาซึ่งเป็นรูของลานี่มันตื้นเขินขึ้นมาแล้วก็เลยมา มาอยู่กับพ่อแม่ใหม่ พอมาอยู่ก็มาเกิดเป็นเด็กหญิงลา เกิดมาชาตินี้มีอาการสามสิบสองครบถ้วน
หลังจากได้มาเยี่ยมพ่อแม่เก่าแล้วก็ยังคงอยู่กับพ่อแม่ใหม่แต่ก็มีการไปมาหาสู่กับครอบครัวเดิมโดยตลอด เมื่อคิดถึงก็กลับไปหาเยี่ยมเยียนกันและเรียกหากันตามฐานะเดิม พอโตเป็นสาวก็มีรูปร่างหน้าตาสวยมีหนุ่มมาหลงรักขอแต่งงานก็สู่ขออยู่กินกันตามประเพณี พออพยพมาอยู่ฝั่งไทยก็ได้ลูกชายก็คือคุณตาเกตุ สามีนั้นมีผู้คนนับหน้าถือตามากจนทางราชการได้แต่งตั้งให้เป็นคุณพระดูแลการปกครองอยู่ในละแวกนี้
เรื่องราวชีวิตหลังความตายและการกลับชาติมาเกิดนี้เป็นเรื่องที่คุณทวดลอยจดจำได้เสมอ ไม่ว่าตอนที่ท่านยังเป็นเด็กหรือโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือแก่ชราลงตามอายุขัยท่านก็ไม่เคยลืม เป็นความทรงจำที่กระจ่างชัดและพิสูจน์ได้อย่างแท้จริง เพราะได้รับรู้ถึงสภาวะของการเวียนว่ายตายเกิด คุณทวดจึงเชื่อกฏแห่งกรรมและหมั่นเอาใจใส่ในการสร้างบุญสร้างกุศลอยู่เสมอทั้งยังได้สอนลูกหลานให้ตั้งอยู่ในคุณความดีสืบต่อๆมา
(๒) สัจจะสองกำพร้า
หมู่บ้านโพนสวาง ตำบลกุดสิมคุ้มใหม่ อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อราวๆหกสิบกว่าปีที่แล้วยังมีสภาพเป็นบ้านป่าแวดล้อมไปด้วยขุนเขาและป่ารกที่มีสัตว์ร้ายชุกชุม อยู่ห่างจากเส้นทางการคมนาคม การติดต่อกับโลกภายนอกก็จะมีแต่การเดินทางโดยทางเกวียน ขี่ช้าง ขี่ม้า หรือไม่ก็เดินด้วยเท้าเท่านั้น
ณ ที่หมู่บ้านแห่งนี้ มีเด็กหญิงกำพร้าสองคนคือ เสงี่ยม กับ รูป (คำพื้นเมืองออกเสียงว่าลูบ)เป็นเพี่อนกันตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งสองเกิดในปีไล่เลี่ยกัน เสงี่ยมเกิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๗ รูปนั้นเกิด พ.ศ.๒๔๗๖ รูปอายุมากกว่าเพียงปีเดียว คบหากันเป็นเพื่อนสนิทมีความเห็นอกเห็นใจกันเพราะต่างก็มีสภาพที่เป็นเด็กกำพร้าว้าเหว่ได้รับการอุปการะเลี้ยงดูจากญาติผู้ใหญ่เรื่อยมาจนโตเป็นสาวอายุได้ ๑๗ – ๑๘ ปี เวลาไปไหนมาไหนรูปกับเสงี่ยมก็มักจะไปด้วยกันไม่ว่าจะไปทำงานหรือว่าไปเที่ยวเล่น ใครๆในหมู่บ้านก็รู้ว่าเป็นคู่หูกัน
สภาพชนบทในภาคอีสานนั้นแม้ว่าในฤดูฝนถึงหน้านาฝนฟ้าชุ่มฉ่ำดีแต่พอตกแล้งน้ำตามไร่นาห้วยหนองคลองบึงก็แห้งขอดไปหมด มองเห็นแต่ผืนดินแตกระแหงสุดลูกหูลูกตาภายใต้เปลวแดดระยิบร้อนระอุ น้ำในบ่อที่ทางอีสานเรียกว่า “น้ำสร้าง” ที่ชาวบ้านตักมากินมาใช้นั้นก็อยู่ไกลและไหลช้า กว่าจะซึมออกมาให้พอตักได้ก็ต้องใช้เวลานาน ชาวบ้านจะไปเฝ้ารอตักน้ำหาบกลับมาบ้านหลายเที่ยวกว่าจะได้พอประทังชีวิตไปวันหนึ่งๆ ในบางช่วงเวลาที่แล้งหนักชาวบ้านถึงกับต้องเข้าคิวรอเฝ้าน้ำกันอยู่จนดึกดื่น
อยู่มาวันหนึ่ง รูปกับเสงี่ยมก็ชวนกันไปรอตักน้ำที่สร้างเจื่อนหรือบ่อน้ำเจื่อนที่นอกหมู่บ้าน พอหาบถังเปล่ามาถึงบ่อน้ำเห็นน้ำในบ่อยังมีอยู่น้อยก็พากันวางถังเปล่าที่หาบมานั้นลงเพื่อรอคอย ..แดดในยามบ่ายแผดเผาร้อนเหงื่อไหล เห็นใต้ต้นไทรที่จอมปลวกใกล้ๆนั้นมีร่มไม้เย็นดีก็ชวนกันไปนั่งพักรอ นั่งพักไปก็คุยกันไป คุยไปคุยมาก็วกเข้ามาหาเรื่องความตาย ก็อาจจะเป็นเพราะว่าทั้งสองนึกไปถึงพ่อแม่ ไปถามใครๆเขาก็บอกว่าตายไปแล้ว ตายไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย ไปอยู่ไหนก็ไม่มีใครรู้ บางคนบอกว่าไปเป็นผี บางคนบอกว่าไปขึ้นสวรรค์ บางคนก็ว่าไปเกิดใหม่ ดูๆไปไม่มีใครที่จะบอกเรื่องนี้ได้จริงๆ
ทั้งสองคนสนใจเรื่องนี้มาก หัวอกอันเดียวกัน ก็จึงคิดสัญญากันที่ใต้ต้นไทรตรงจอมปลวกนั้นว่า ...ถ้าใครตายก่อนก็จะมาบอกผู้ที่ยังอยู่ว่าความตายนั้นเป็นอย่างไร... ก็ตกลงสัญญากัน
เสงี่ยมพูดจาประสาซื่อว่า
“ฉันยังไม่อยากตาย อยากจะอยู่ไปอีกนานๆ”
ส่วนรูปนั้นดูตั้งใจจริงมาก พูดอย่างแสดงความจริงใจว่า
“ให้ฉันตายก่อนก็ได้ แล้วฉันจะกลับมาบอกเธอ”
.....................................
จากวันนั้น การดำเนินชีวิตประสาชาวชนบทก็ยังคงเป็นไปเรื่อยๆ ทำไร่ ทำนา ทำสวน นานๆจะมีงานบุญประเพณีสักครั้ง การทำไร่ในสมัยนั้นก็มักจะไปทำอยู่ตามเชิงเขา เสงี่ยมกับรูปมีไร่อยู่ใกล้กันคืออยู่ใกล้กับถ้ำกกม่วง(กก เปลว่า ต้น คือถ้ำต้นมะม่วง) ตรงภูสันจะก้อ(ส่วนหนึ่งของเทือกเขาภูพาน) แถวนั้นเป็นป่าทึบที่เนื้อดินยังอุดมสมบูรณ์ รูปเป็นคนขยัน เช้าขึ้นมาก็ห่อข้าวเหนียวใส่กะหยังคือตะข้องสะพายบ่าถือเสียมขึ้นไปบนภูไปดายหญ้าอยู่คนเดียว ส่วนเสงี่ยมจะไปช้าหน่อยเพราะมีหน้าที่เลี้ยงดูลูกๆให้น้าสาวและคุณยายก็มักจะตักเตือนอย่างเข้มงวดกวดขันเสมอว่า
“จะไปจะมา โตเป็นสาวเป็นนางแล้วไปไหนให้มีเพื่อน ให้รู้จักระวังตัว”
ตอนสายของวันนั้น ชาวบ้านหลายคนก็พากันขึ้นไปทำไร่บนภู พอผ่านไปที่ไร่ของรูปก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นรูปดายหญ้าอยู่ที่นั่น สังเกตดูรอบบริเวณนั้นเห็นผิดสังเกตก็ตกใจไปตามๆกันเพราะเห็นมีแต่เสียมที่ใช้ดายหญ้าตกอยู่และปรากฏว่ามีรอยเท้าของเสือขนาดใหญ่เต็มไปหมดตามพื้นดิน ก็คิดกันว่ารูปอาจจะโดนเสือกัดแล้วลากไปกินเสียที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ คนที่เห็นก็แตกตื่นกันใหญ่ไปเรียกผู้ใหญ่บ้านเรียกพวกผู้ชายช่วยกันออกค้นหาตามป่าแถบนั้น พากันร้องเรียกตามหากันอยู่นานจนต่างคนต่างเหนื่อยอ่อนก็ไม่พบ ในที่สุดก็มานั่งชุมนุมคุยกันอยู่ก็พอดีน้าเซ็งแกกลับมาจากเถียงนา(กระต๊อบที่นา)ของแกที่เชิงเขาเข้ามาฟังเขาคุยกัน ก็บอกกับทุกคนว่า
“ตอนอยู่ที่เถียงนาฉันนอนกลางวันแล้วก็หลับฝันไปว่า รูปมาบอกว่าเขาโดนเสือกัดตาย เสือลากไปกินแล้วก็เอาซากศพไปซ่อนไว้ที่ง่ามขอนไม้แดงในป่า”
ทุกคนได้ยินแล้วก็แปลกใจว่าเป็นไปได้รึเปล่าที่รูปมันตายไปแล้วเป็นผีมาบอกในฝัน ในที่สุดก็ตกลงใจกันออกค้นหาอีก ต่อมาก็ได้เจอศพที่ง่ามขอนไม้แดงอย่างที่มาบอกในฝันจริงๆ สภาพศพนั้นยับเยินอย่างน่าสยดสยอง ..เสือได้ลากไส้แล้วก็เครื่องในออกมากินจนหมดแล้วก็ยังกินเนื้อสะโพก เนื้อสะโพกข้างหนึ่งนั้นหายไป.. ทุกคนก็เลยช่วยกันเก็บศพมาที่หมู่บ้าน
ต่อมาก็จึงได้ทำพิธีฝังกันจนเป็นที่เรียบร้อย เพราะตามประเพณีนั้นถือกันว่าผีตายโหงนั้นต้องฝังโดยเร็ว ฝ่ายเสงี่ยมได้ยินข่าวของรูปแล้วทั้งตกใจกลัวและเสียขวัญมาก นึกสงสารสมเพชเวทนาเพื่อนที่ต้องมาตายอย่างสยดสยอง รู้สึกสูญเสียในใจจนทำอะไรไม่ถูก พองานศพผ่านไปได้เจ็ดวันเสงี่ยมก็ฝันถึงรูป ในฝันนั้น เห็นรูปอยู่ในชุดเสื้อผ้าที่ใส่ไปทำไร่ ได้กลิ่นสาบสางซึ่งเป็นกลิ่นสาบศพที่รุนแรงมาก รูปมาบอกว่า
“ฉันตายไปแล้ว ตายไปเพราะถูกเสือกัดกิน เสือตัวนี้ ในอดีตมันเป็นคนรักเก่าที่อาฆาตพยาบาท” แล้วยังต่อว่าอีกว่า “ทำไมไม่ไปงานศพฉัน ตอนฝังศพนั่นชาวบ้านเขาให้เสื้อผ้าไปเยอะแยะเลย”
เสงี่ยมสงสัยถามว่า
“ได้เสื้อผ้าไปเยอะแยะแล้วทำไมยังใส่ชุดนี้อยู่ล่ะ”
“ก็เอาไปแบ่งคนอื่น แบ่งกันไป”
พอมาบอกอย่างนั้นแล้วรูปก็กลับไปป่าช้า เสงี่ยมสะดุ้งตื่นขึ้นอย่างอกสั่นขวัญแขวน ขนาดตื่นขึ้นมาตั้งสติดีแล้วก็ยังได้กลิ่นสาบศพไม่หาย พอเล่าเรื่องให้คนในบ้านรู้ก็ตกใจกลัวกันไปตามๆกัน ญาติพี่น้องเป็นห่วงเสงี่ยมมากกลัวจิตใจจะไม่ปกติ ก็เลยทำขวัญผูกแขนเรียกขวัญให้มาอยู่กับเนื้อกับตัว
วันเวลาผ่านไป ชาวบ้านโพนสวางก็ยังไม่ลืมเรื่องนี้ คุณยายของเสงี่ยมนั้นเป็นคนใจบุญมักจะคอยสั่งสอนให้เสงี่ยมรู้จักการบุญสุนทาน ตอนเช้าก็ให้ใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้แก่ พ่อแม่ บรรพบุรุษ และญาติสนิทมิตรสหายเสมอ ถึงเพ็ญเดือนเก้าเดือนสิบก็ไม่ลืมทำบุญใหญ่อุทิศไปให้อยู่เป็นประจำ
ในเวลาต่อมาเสงี่ยมก็ฝันเห็นรูปอีก รูปมาบอกว่า
“ของกินที่เธอทำบุญอุทิศไปให้นั้นน่ะได้รับทุกอย่าง ตอนนี้ก็อยู่เมืองผีอยู่ที่ป่าช้านั้นเอง”
มาคราวนี้ เสงี่ยมก็ยังได้กลิ่นสาบศพอยู่แต่ว่ากลิ่นสาบจางลงกว่าแต่ก่อนมาก ก็รู้ดีว่าเพื่อนนั้นน่ะตายไปแล้วเลยถามว่า
“อยู่ที่เมืองผีนี่อยู่ยังไง”
“ก็อยู่เป็นบ้านในหมู่บ้านนี่แหละ แล้วก็จะไปเที่ยวตามจุดต่างๆ ของกินที่ได้รับนี่ได้รับจากที่เธอทำบุญไปให้มากกว่าทุกคน”
รูปใช้คำว่าไปเที่ยวตาม “จุด” ไม่ได้พูดว่างานบุญที่นั่นที่นี่ซึ่งเสงี่ยมก็ไม่ค่อยจะเข้าใจนัก
ความฝันครั้งนี้ไม่ได้ทำให้เสงี่ยมตกใจกลัวมากเหมือนคราวก่อนเพราะก็พอทำใจได้บ้างแล้ว เสงี่ยมยังคงใช้ชีวิตประสาชาวชนบทโดยมีคุณยายคอยอบรมสั่งสอน หลังจากที่รูปจากไปได้ประมาณเกือบปีรูปก็ได้มาเข้าฝันเสงี่ยมเป็นครั้งสุดท้าย เสื้อผ้าที่รูปสวมใส่ก็ยังเป็นชุดเดิม รูปมาบอกว่า
“ฉันมาหาเธอเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ถึงเวลาที่จะมาเกิด รูปก็จะมาอยู่กับผู้หญิงที่ชื่อสอนที่อยู่คุ้มบ้านใต้”
พอรูปบอกเท่านั้นก็ไป เสงี่ยมตื่นขึ้นมาก็ยังแปลกใจไม่หายแล้วก็ได้ยินเสียงคนเขาพูดกันว่า
“นางสอนคนบ้านใต้เจ็บท้องจะคลอดลูกแล้ว”
ก็ประหลาดใจที่เหตุการณ์มาพ้องกันเข้าพอดี
เมื่อนางสอนคลอดลูกชาวบ้านหลายคนก็ต้องแปลกใจอีกครั้งว่าทำไมเด็กที่เพิ่งเกิดมาจากท้องแม่นี่ถึงได้มีรอยแผลเป็นที่สะโพกคล้ายรอยเสือกัด คนที่ได้ฟังเสงี่ยมเล่าความฝันต่างๆก็เชื่อว่าดวงวิญญาณของรูปนี่ได้กลับมาเกิดใหม่แล้วเพราะความฝันนั้นก็ตรงกับความจริง พ่อแม่ของเด็กได้ตั้งชื่อให้เด็กว่า “โล้” เป็นเด็กหญิงน่ารักน่าเอ็นดู พอโตมาเริ่มจะสังเกตหน้าตาคนได้เวลาอุ้มไปเจอเสงี่ยมทีไรเด็กนั้นก็จะทำท่าตกตะลึงจับจ้องมองดู จ้องมองดูคล้ายๆว่าจะจำได้ ต่อมาพอพูดได้ก็จะบอกกับพ่อแม่อยู่เรื่อยว่า
“จะไปหาเสงี่ยม จะไปหาเสงี่ยม จะไปเที่ยวเล่นกับเสงี่ยม”
พ่อแม่ได้ยินก็รู้ว่าลูกจำอดีตชาติได้จึงรู้สึกเป็นห่วงลูกมาก กลัวจะเป็นเด็กที่ผิดปกติผิดผู้ผิดคน กลัวอายุจะสั้น กลัวไปต่างๆนานา ก็เลยหาวิธีทำเป็นเล่ห์กลให้ลืมความหลัง เช่น พาลอดไปตามใต้ถุนน้ำครำบ้างอะไรต่างๆนานาจนกระทั่งเด็กพูดถึงเรื่องนี้น้อยลง แต่ไม่ว่ายังไงพอได้เจอกับเสงี่ยมเขาก็จะทำท่าสะดุดใจอยู่เสมอ
เรื่องสัจจะสองกำพร้านี้ผู้เขียนได้รับคำบอกเล่าจากประสบการณ์จริงร่วมสมัยอีกเรื่องหนึ่ง ทุกวันนี้ คุณยายโล้ยังมีชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านโพนสวาง จังหวัดกาฬสินธุ์ ส่วนคุณยายเสงี่ยมนั้นอยู่ที่หมู่บ้านสร้างค้อ กิ่งอำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร
ผลงานของ : ชุนคำ จิตจักร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น