วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

อนิจจา...บาบิยัน..


        เรื่องจริงของพระภิกษุนักปฏิบัติธรรมผู้สละโลกซึ่งสลัดกามราคะอันเปรียบเสมือนเลือดในอกของสัตว์ทั้งหลาย

ที่มาภาพ : วิกิพีเดีย

โดย ชุนคำ  จิตจักร
....................................................
ดิฉัน  เคยนอนที่เตียงนี้  เป็นตียงสุดท้าย
        พอบอกอย่างนี้แล้วเธอก็เดินไปทางหน้าต่าง  พอเดินไปถึงหน้าต่างแล้ว...เธอก็ลอย...   
        .....................................................
        ขึ้นชื่อว่ากามราคะย่อมเป็นสิ่งที่ละได้ยาก  ในเรื่องนี้ พระอาจารย์สุทัศน์  โกสโล แห่งวัดกระโจมทอง ต.วัดชะลอ อ.เมือง จ.นนทบุรี ท่านเคยกล่าวแสดงธรรมไว้ว่า  ..กามราคะนั้นเหมือนเลือดในอกสัตว์  เป็นสิ่งที่ฝังแน่นอยู่ในสันดานของสัตว์ทั้งหลาย  แม้ว่าพระภิกษุสงฆ์ผู้พอใจในการหลีกออกจากกาม  ยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์มุ่งหวังที่จะกระทำให้ถึงที่สุดแห่งความแจ้งทุกข์พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร  กามราคะในสันดานนั้นก็จะติดตามพัวพันให้เร่าร้อนจนถึงที่สุด  แม้ว่าจะคลายความยินดีในรูปกายที่หยาบก็ยังสามารถล่อลวงให้ยินดีในรูปที่ละเอียดยิ่งขึ้น  มีการหน่วงรั้งด้วยอำนาจของกระแสกรรมและความผูกพันอันเนื่องมาจากเหตุปัจจัยในอดีต  ดังเช่นเรื่องที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้
        ชีวิตการปฏิบัติธรรมของพระอาจารย์สุทัศน์ในครั้งหนึ่งได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศอินเดีย  ไปสักการบูชาและปฏิบัติบูชาในพุทธสถาน  หลังจากนั้นก็ได้เดินทางเข้าไปในปากีสถานและอัฟกานิสถานซึ่งในระหว่างที่เข้าไปนั้นได้ประสบกับเรื่องที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะได้พบได้เห็นมาก่อน  ในการไปครั้งนี้ ท่านร่วมเดินทางไปกับพระอาจารย์เสน่ห์ พระอาจารย์รุ่งเรือง และคณะทัวร์ซึ่งมีญาติโยมกลุ่มหนึ่งเดินทางไปด้วยกัน
        ท่านเพิ่งจะฟื้นจากอาการไข้หนักในตอนที่อยู่อินเดีย  พอเข้ามาถึงเมืองปีชะว่อที่ปากีสถาน  ทั้งหมดก็ได้เข้ามาพักที่โรงแรมเรนโบว์อันเป็นโรงแรมที่ใหญ่โตโอ่อ่ามีบริการพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกสบายทุกอย่าง  แต่พอมาถึงที่นี่ท่านก็มีไข้อีก
        พระอาจารย์สุทัศน์ท่านรู้สึกเกรงใจผู้ร่วมคณะและก็เห็นว่าอากาศที่อัฟกานิสถานนี่หนาวมากเกรงว่าความเจ็บป่วยของท่านจะเป็นเครื่องถ่วงคณะท่องเที่ยวซะเปล่าๆก็เลยขอตัวพักรอ อยู่ที่โรงแรมเรนโบว์นี้  คณะผู้เดินทางก็ปรึกษากันยังไม่มีการลงความเห็นว่าจะเอายังไง
        ห้องบนชั้นสูงของโรงแรมที่ท่านพักนั้นเขาจัดไว้อย่างสวยหรู  มีเตียงนอน เฟอร์นิเจอร์ เตาผิง สุขภัณฑ์ และของใช้ต่างๆอำนวยความสะดวกมากมาย  ขณะที่พระอาจารย์สุทัศน์กำลังนอนพักผ่อนร่างกายอยู่นั้นก็ได้มองสำรวจพิจารณาไปรอบๆ  สักครู่หนึ่งก็คล้ายๆมีใครปรากฏตัว    เป็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอก้าวช้าๆ ก้าวเข้ามา ก้าวเข้ามา..  ..ท่วงท่าเดินสุขุมนุ่มนวลสง่างามมาก  เธอสวมชุดส่าหรีพลิ้วไสวรับกับรูปร่างที่งดงามสมส่วนไม่มีที่ติ  แต่ดูเหมือนว่าท่านจะเห็นอยู่คนเดียว
        ..ดวงหน้าของเธอ...  ...สวยมาก..  ช่างเป็นดวงหน้าที่มีความสวยงามเป็นเลิศสุดที่จะบรรยายได้จริงๆ...  ในชีวิตที่ผ่านมาของพระอาจารย์สุทัศน์ก็พอจะเคยได้พบเห็นผู้หญิงที่คนเขายอมรับกันว่า สวยที่สุด งามที่สุด ก็มีไม่น้อยเลย  แต่เมื่อได้เห็นผู้หญิงคนนี้แล้ว บอกได้อย่างมั่นใจที่สุดเลยว่า  ผู้หญิงทุกคนที่เคยเห็นมาแล้วในชั่วชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมด ไม่มีใครเลยที่จะมีความสวยงามเท่าผู้หญิงคนนี้..
        เธอเดินช้าๆ  เดินตรงมาที่เตียงซึ่งท่านนอนอยู่  สีหน้าของเธอเปี่ยมไปด้วยความมีไมตรี  พอมาถึงก็ค่อยๆก้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูของท่าน  เสียงกระซิบนั้นเป็นภาษาพื้นเมืองที่ท่านฟังไม่รู้เรื่อง  แต่การรับรู้ทางจิตซึ่งได้รับการฝึกฝนมาทำให้ท่านสามารถรับรู้ความหมายจากคำพูดของเธอได้ทุกคำซึ่งถ้าจะแปลเป็นคำพูดภาษาไทยก็จะแปลว่า
        ดิฉัน  เคยนอนที่เตียงนี้  เป็นตียงสุดท้าย
        พอบอกอย่างนี้แล้วเธอก็เดินไปทางหน้าต่าง  พอเดินไปถึงหน้าต่างแล้ว...เธอก็ลอย ...ร่างสวยสง่าของเธอก็ลอยพลิ้วไสวลงทางหน้าต่างอย่างสวยงาม..
        พอร่างของเธอลับสายตาไป  พระอาจารย์สุทัศน์ก็ถามพระอาจารย์เสน่ห์และพระอาจารย์รุ่งเรืองที่ดูแลอยู่ว่า
        เมื่อกี้  เห็นผู้หญิงสวยๆที่เข้ามาพูดอะไรรึเปล่า
        ไม่เห็น  ไม่เห็นมีใครเข้ามาในห้องนี้เลย
        ทั้งสองท่านตอบยืนยันเหมือนกัน
        ไม่มีใครเข้ามาแต่ทำไมอาจารย์สุทัศน์เห็น  เห็นคนเดียว  ทั้งสองท่านที่ดูแลก็เริ่มกังวลว่าพระอาจารย์สุทัศน์นี้เห็นทีจะอาการหนักเพราะเริ่มจะเพ้อเห็นอะไรต่อมิอะไรแล้ว  อาการแบบนี้ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยจะรอด
        แต่ว่าเรื่องที่น่าประหลาดก็คือพระอาจารย์สุทัศน์นอนพักผ่อนอยู่ไม่นานก็กลับลุกขึ้นเดินเหินอย่างมีกำลังวังชาเหมือนคนปกติ  อาการป่วยหายไปเหมือนปลิดทิ้ง  พอให้หมอตรวจดูอาการก็ปกติดีทุกอย่าง  เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดเหลื่อเชื่อซึ่งญาติโยมที่ไปต่างก็ถึงกับงงไปตามๆกัน  แต่ทุกคนก็ยินดีที่ท่านสามารถร่วมเดินทางเข้าไปในอัฟกานิสถานด้วยกัน  ไม่ต้องนอนรออยู่ที่นี่อีกต่อไป
        ทั้งหมดได้เดินทางจากเมืองปีชะว่อ ประเทศปากีสถานเข้าไปในอัฟกานิสถานโดยทางรถยนต์  ในตอนเช้าที่รถแล่นเข้าไปในทางช่องแคบไฟเบอร์จะเห็นวิวสวยมาก  แม้ว่าขณะนั่งอยู่ในรถจะได้รับความอบอุ่นจากเครื่องปรับอากาศ  แต่ก็รู้ดีว่าด้านนอกสองข้างทางนั้นมีแต่ความหนาวเหน็บ  เกล็ดหิมะขาวโพลนปกคลุม ป่าไม้ โขดผา และเนินเขาสลับซับซ้อน  แสงทองยามเช้าส่องต้องเกล็ดหิมะดูระยิบระยับไปหมด  เส้นทางนี้จะเลียบไปตามสันเขาที่คดโค้งก่อนจะทอดยาวผ่านที่ราบกว้างมุ่งเข้าไปสู่เมืองกาบูร์
        เมืองกาบูร์เป็นเมืองที่แลดูสะอาดตา  ตึกรามบ้านช่องอันสวยงามดูเป็นระเบียบเรียบร้อยทุกหนทุกแห่งถูกปกคลุมด้วยหิมะ  อากาศเย็นจัดต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง  ตอนที่ลงจากรถยนต์กำลังจะต่อแท็กซี่ไปที่โรงแรมนั้นเด็กขนของที่มาด้วยก็เกิดทะเลาะกับแท็กซี่  เด็กนั่นเอาเท้าปิดประตูแท็กซี่ดังปัง  เจ้าแขกโชเฟอร์ก็ฉุนฉียวมากตรงเข้าไปเล่นงานเด็กคนนั้นจนเกิดตะลุมบอนกันขึ้นมา  หลายๆคนก็เป็นห่วงเด็กก็ส่งเสียงดังตะโกนว่า
        ...แสนศักดิ์  เมืองสุรินทร์ เก่งที่สุด..
        ที่ร้องอย่างนั้นก็เพราะว่าจะให้แขกกลัว  เพราะตอนนั้น แสนศักดิ์  เมืองสุรินทร์ หรือว่า ไอ้แสบ ของไทยนี่ดังมากจนเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก  พอตำรวจมาก็เลิกทะเลาะกัน  ตำรวจยังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำว่ามีเรื่องกันและคงเข้าใจว่าเขาพากันมามุงดูพระภิกษุเพราะไม่ค่อยจะได้พบเห็นกัน
        ช่วงที่เหตุการณ์สงบลงแล้วนั้นพระอาจารย์สุทัศน์เหลือบไปเห็นแท็กซี่คันหนึ่งมาจอดอยู่ไม่ไกลนัก  ..ใครคนหนึ่งกำลังเปิดประตูก้าวลงมาจากรถ  ผู้หญิงคนนั้นเอง..  ผู้หญิงสวยที่เคยมากระซิบกับท่านที่โรงแรมเรนโบว์ในปากีสถาน เธอหันหน้ามายิ้มให้แล้วก็เดินไป  เป็นไปได้อย่างไร  ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันแน่  ทำไมถึงได้บังเอิญเดินทางมาทางเดียวกัน  อยากจะบอกคนอื่นก็กลัวว่าเขาไม่เห็นเดี๋ยวจะไม่เข้าใจและคิดว่าท่านเพ้อไปแล้วจะเป็นห่วง
        โรงแรมในกรุงกาบูร์ที่ได้มาพักผ่อนนี้ก็เป็นโรงแรมชั้นดีมีบริการสะดวกสบาย  ทุกคนเข้าพักที่นี่คืนหนึ่งเพื่อเตรียมตัวไปเที่ยวชมสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่บาบิยันซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก  ในช่วงนี้พระอาจารย์สุทัศน์สุขภาพดีพอนอนพักได้คืนหนึ่งแล้วตอนเช้าก็นึกอยากจะอยู่คนเดียวเลยหลบมานั่งอยู่ที่ห้องล็อบบี้ของโรงแรม
        สักครู่หนึ่งก็เหลือบไปเห็น..  เห็นผู้หญิงคนนั้นอีก  ไม่รู้ว่าเดินมาจากไหน  ในมือประคองถ้วยกาแฟเดินเข้ามาหาอย่างมีมารยาท  พอมาถึงก็วางถ้วยกาแฟลงตรงหน้าท่านเหมือนว่าจะถวายให้ท่านดื่มแล้วก็เดินออกไปจนหายลับไปทางอีกด้านหนึ่งของโรงแรม
        พระอาจารย์รุ่งเรืองเป็นห่วงก็ตามมาจนเจอก็ทักว่า
        แหม  นึกว่าหายไปไหน  ที่แท้ก็แอบมาฉันกาแฟนี่เอง
        พระอาจารย์สุทัศน์ก็ไม่รู้จะอธิบายให้ฟังอย่างไร  ดูจากท่วงทีกิริยามารยาทและรูปร่างหน้าตาของผู้หญิงคนนี้ก็สวยงามเกินกว่ามนุษย์ธรรมดา  แต่ถ้าเธอเป็นวิญญาณที่ปรากฏให้เห็นแล้วทำไมแก้วกาแฟก็ยังเห็นตั้งอยู่ตรงหน้า  กาแฟก็ยังร้อนกรุ่นอยู่ซึ่งพระอาจารย์รุ่งเรืองก็เห็น  ท่านก็ไม่ได้ฉันกาแฟถ้วยนั้นเพราะท่านถือตามพระวินัยคือจะไม่ฉันของที่ไม่ได้ประเคนถวาย
        เช้านั้น ก็ออกจากโรงแรมที่เมืองกาบูร์พากันหอบหิ้วสัมภาระไปขึ้นรถบัสซึ่งจะพาไปเที่ยวที่บาบิยัน  ทุกคนก็รู้ว่าอากาศหนาวแสนหนาวแต่ก็ตั้งใจว่าจะไปชมความหัศจรรย์ที่นั่นให้ได้  ตอนขึ้นรถเด็กขนของก็ทำท่าว่าจะทะเลาะกับแขกอีกเพราะเรื่องแย่งที่นั่งกันทางพระก็เลยไปช่วยห้ามแล้วสอนว่า
        เราเป็นชาวพุทธ  ต้องรู้จักเสียสละ
        เด็กนั้นก็เชื่อเรื่องจึงสงบลง
        พระอาจารย์สุทัศน์นั่งอยู่ในรถมองออกไปสองข้างทางเห็นมีแต่หิมะ  กวาดสายตาสำรวจคนในรถเห็นผู้ร่วมทางมีหน้าตาผิวพรรณและการแต่งกายที่ดูแตกต่างกันไป  พอมองไปทางเบาะอีกด้านหนึ่งก็เห็นผู้หญิงคนนั้นสวมเสื้อคลุมยาวเอาผ้าโพกหัวและคลุมหน้าด้วยผ้าบางๆ  ผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว..
        ท่านจำได้  มองจากอากัปกิริยาแล้วคิดว่าต้องใช่แน่นอน  ด้วยความเคยชินที่เป็นพระปฏิบัติกรรมฐานก็จะเหลือบมองแค่เพียงแวบเดียวเท่านั้นแต่ในใจก็ยังคงคิดอยู่ว่าอยากจะดูหน้าให้ชัดๆอีกสักทีเหมือนกัน  เธอเป็นใครทำไมถึงบังเอิญพบอยู่เรื่อย  พบที่ปากีสถาน  พอมาถึงอัฟกานิสถานก็มาถึงพร้อมๆกัน  พักในโรงแรมเดียวกัน  พอไปบาบิยันก็ไปรถคันเดียวกันอีก  นึกๆไปก็อยากดูให้ชัดๆก็เลยค่อยๆเหลือบไปมอง
        เหมือนกับรู้ใจ..  ผู้หญิงคนนั้นก็หันมาแล้วค่อยๆเอื้อมมือเปิดผ้าคลุมหน้าบางๆนั้นออกให้ดูหน้า..  ใช่แล้ว.....ชัดเจนที่สุด..  ดวงหน้าที่มีความงามเป็นเลิศ..  เธอมองมาที่ท่าน  ยิ้มให้ท่านอย่างหยาดเยิ้ม..
        พระอาจารย์สุทัศน์ถอนสายตากลับมาทันที  คิดอยู่ว่าทำไมนะคนอื่นถึงไม่เห็น  เธอมีจุดประสงค์อะไร  ดูเหมือนว่าท่านเริ่มจะเข้าใจอะไรได้รางๆจากแววหยาดเยิ้มของดวงตาคู่นั้น
        เมื่อพบกันครั้งแรกแล้วก็ลอยพลิ้วลงจากหน้าต่างเหตุการณ์ก็บอกชัดอยู่แล้วว่าเธอไม่ใช่คน  แต่นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับท่านเพราะว่าการที่ผู้ฝึกปฏิบัติกรรมฐานมักจะเห็นวิญญาณต่างๆก็เป็นเรื่องธรรมดา  แต่เรื่องที่น่าคิดก็คือเรื่องของกรรมที่ทำให้มีวาระที่จะต้องได้มาพบกัน  เมื่อเธอแสดงไมตรีออกมาอย่างผูกพันลึกซึ้งอย่างนี้  ด้วยจิตประดิพัทธ์รักใคร่ตามวิสัยของผู้ใฝ่หากามราคะอย่างนี้  มันก็สุดวิสัยที่สมณะผู้มุ่งสละโลกจะสนองตอบเธอได้
        เมื่อไปถึงบาบิยัน  ทุกคนก็ตื่นเต้นกับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกคือภูเขาใหญ่ทั้งลูกถูกสลักเสลาให้เป็นพระปฏิมาสวยงามมากเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  น่าอนุโมทนากับผู้ที่มีความพากเพียรพยายามในการก่อสร้างยิ่งนัก  ที่ด้านหลังขององค์พระนั้นจะเป็นแนวภูเขาเจาะเป็นถ้ำได้แปดถ้ำ  ไม่ได้ประดิษฐานอะไรไว้แต่ก็สันนิษฐานว่าคงตั้งใจจะสร้างเพื่อประดิษฐานพระอรหันต์แปดทิศนั่นเอง  อากาศที่นี่หนาวมาก  ระดับหิมะสูงท่วมหัวเข่าม้าเย็นเฉียบจับกระดูกแต่ทุกคนก็ปลื้มปิติจนลืมความหนาว  พากันไปหอบเอาหิมะมาก่อเป็นเจดีย์เป็นพุทธบูชา
        พระอาจารย์สุทัศน์ทอดสายตายาวไกลมองเลยผ่านไปด้านหลังองค์พระปฏิมา  ..ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ที่นั่นคนเดียว
        ที่นี่ไม่มีโรงแรม จะมีก็แต่ที่พักข้างทางเท่านั้น  พอค่ำลงต้องพากันก่อกองไฟ  แม้แต่กิ่งไม้แห้งก็มีราคาเอามาชั่งกิโลขายซึ่งคนซื้อก็จำเป็นต้องซื้อ
        พระอาจารย์สุทัศน์ได้พิจารณาทบทวนเกี่ยวกับการมาปรากฏตัวของวิญญาณหญิงสวยผู้นี้ด้วยสติปัญญาแล้วจึงได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะขออโหสิกรรมต่อเธอจะได้ไม่ต้องผูกพันกันแบบนี้อีกต่อไป  ท่านจึงได้สำรวมจิตให้เป็นสมาธิแล้วบอกกล่าวกับดวงวิญญาณของเธอไปว่า
        .....ถ้าหากอาตมาเคยมีเวรกรรมผูกพันกับเธอมาก่อนก็ขอให้หมดเวรหมดกรรมกันในชาตินี้เถิด  แม้นหากกุศลใดได้เกิดขึ้นแล้วจากการที่อาตมาได้อุทิศตนบวชในพระพุทธศาสนา  ได้เจริญภาวนาเพื่อให้ถึงซึ่งความสิ้นไปแห่งทุกข์  ขอให้เธอจงมีส่วนได้รับกุศลผลบุญนั้น  ขอจงตั้งจิตน้อมอนุโมทนาแล้วรับเอาส่วนบุญส่วนกุศลเพื่อประโยชน์สุขแห่งตนและอย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย.....
        นับตั้งแต่วันที่ได้ตั้งจิตขออโหสิกรรมต่อวิญญาณของผู้หญิงคนนี้แล้วก็ไม่เคยพบเห็นว่าเธอมาปรากฏตัวอีกเลย  ก็น่าแปลกที่ว่า ร่างกายของท่านกลับอ่อนแอลง มีอาการไออยู่ตลอดเวลานับตั้งแต่เดินทางกลับจาก...บาบิยัน..

ผลงานของ : ชุนคำ  จิตจักร
ลงพิมพ์ในนิตยสารมหามงคล ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 พ.ศ.2553

พระพุทธรูปแห่งบาบิยัน วิกิพีเดีย
หุบเขาบาบิยัน http://board.postjung.com/558970.html

1 ความคิดเห็น:

yaraquesenberry กล่าวว่า...

3 titanium bikes, with great design
3 titanium bikes for beginners to bicycle. - used ford escape titanium - titanium piercings All bikes, columbia titanium pants with titanium boiling point great titanium belly rings design