...เรื่องสั้นมิติย้อนยุค...
ดินเลน
เรื่องที่ผู้เขียนได้รับแรงบันดาลใจมาจากชีวิตจริงของคนเมื่อราวห้าสิบปีก่อน
ไม่รู้จักกี่ครั้งแล้ว... ที่..เนียมเป๋ หรือ ไอ้เนียม ขาเป๋ ซบหน้าลงกับหัวเรืออย่างหมดเรี่ยวแรง ปากก็ส่งเสียงพึมพำว่า
“ถ้าพ่อมีเงินรักษา หนู...”
อาลั้ง เฝ้ามองดูผัวรักอย่างหดหู่ใจทุกวัน นางไม่อาจจะสรรหาคำใดมาปลอบโยนได้ในเมื่อหัวใจนางก็โศกเศร้าอาดูรเหมือนตายทั้งเป็นเช่นเดียวกัน ลูกจิน จากไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ ทั้งสองมีลูกสาวอยู่คนเดียวแล้วแกก็เป็นเด็กน่ารักออกอย่างนั้น
..ผิดด้วยหรือ ที่เกิดมาจน.. ใครว่าไม่ผิดล่ะ ใครๆไม่ลองมาเกิดเป็นพ่อแม่จนๆที่ไม่มีเงินรักษาลูกดูบ้างจะรู้สึกผิดแค่ไหน...
สี่ห้าเดือนผ่านไป สองผัวเมียยังคงแจวเรือออกไปรับจ้างขนมะพร้าวเช่นเคยทั้งที่แทบไม่ได้พูดจาอะไรกันเลยทั้งวัน พอกลับมาเย็นผัวก็เอาเรือออกไปเอาดินเลนมาถมร่องสวน ถมไปๆถมแล้วก็ถมลงไปอีก ทำอย่างกับร่องสวนมันไม่มีวันจะเต็มได้อย่างนั้นแหละ ทำอยู่อย่างนี้ทุกวันจนร่องสวนแถบริมตลิ่งกลายเป็นลานบ้าน บางวันฝ่ายผัวกลับมืดผิดปกติจนเมียอดถามไม่ได้
“พี่ไปทำอะไรนักหนา ทำไมไม่พักมั่ง ยังทำใจเรื่องลูกไม่ได้เหรอ ฉันชักจะห่วงแล้วนะ”
“จะว่าอย่างงั้นก็ใช่”เนียมยอมรับ “แต่พี่มาได้ความคิดใหม่ว่าสวนบ้านเรามีไร่กว่าๆนี่เอาไว้ปลูกอะไรๆแค่สองร่องก็พอ ที่เหลือถมเป็นลานกว้างๆไว้เก็บของเผื่อซื้อขายดีกว่า”
“ก็ดีนะพี่ แต่พี่อย่าไปคนเดียวค่ำมืดสิจ๊ะ ให้ฉันไปช่วยพายช่วยถ่อถือท้ายเถอะ”
“พี่กลัวลั้งเหนื่อย ไหนจะงานบ้าน ทำครัว”
“ไม่หรอกน่า ฉันทำได้”
...................................
“ไปทำอะไรวะเนียม ไปทำงานที่ทำให้ตายก็ไม่รวยน่ะเหรอ” เสียงเพื่อนบ้านเย้าแหย่หัวเราะกันเกรียวยามที่เรือแล่นสวนกัน
“เอ็งมันเป็นคนมีหลักมั่นทางใจ มีสัจจะ เนียมเอ๋ย”พระครูพูดให้กำลังใจ “ข้ารู้ว่าเอ็งต้องทำใจของเอ็งได้ จะเอาอะไรกับชีวิตที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนเล่า มีคู่ครองที่ซื่อสัตย์สุจริตและดีต่อกันก็เป็นสุขเท่าไหร่แล้ว ข้าเชื่อว่าวันหนึ่งเอ็งต้องมีอยู่มีกินอย่างสุขสบาย”
เนียมนึกถึงคำพูดหลายต่อหลายคน แม้ว่าคนแถบนี้จะหนีไปทำงานที่บางกอกกันเกือบหมดแต่เนียมก็ปลงใจแล้วว่าจะอยู่ที่เดิมที่นี่ จะหวังอะไรนักหนากับชีวิตลูกกำพร้าขาเป๋ที่การศึกษาต่ำอย่างเขานอกจากเอาแรงออกสู้งาน ถ้าเหนื่อยนักก็นอนงีบที่หัวเรือใต้ร่มไม้สักพักในยามบ่ายหรือหากไม่มีกินจริงๆก็ยังอาจจะพอพึ่งวัดได้บ้างเป็นบางมื้อ
ดินเลนอันเกิดจากการตกตะกอนของน้ำที่ชะล้างหน้าดินนั้นมีอยู่ชั่วนาตาปีตามแม่น้ำ ลำคลอง ร่อง และลำกระโดง นอกจากไม่ค่อยจะมีใครต้องการแล้วยังมีคนจ้างให้ขุดลอกไปทิ้งด้วยซ้ำเพื่อให้น้ำใส เมื่อมิใช่สมบัติอันเป็นสิทธิของผู้ใดมันก็คงไม่ผิดที่จะเอามาเป็นทรัพย์สินสำหรับไอ้เนียมเป๋คนยากผู้ซึ่งยินดีและถือเอาว่าเป็นของขวัญล้ำค่าที่แม่ธรณีและแม่คงคาท่านประทานให้มา
“ขยันเกินไปรึเปล่า”ลั้งบีบไหล่และลำแขนอันล่ำสันของผู้ผัวอย่างปลอบประโลม
“ถึงแรงขาไม่ดีนักแต่แรงแขนพี่ไม่แพ้ใคร ลั้งก็รู้”
“ก็นั่นแหละ อย่าให้ป่วยเสียก่อนถึงรู้ตัว”
“ไม่ล่ะน่า พี่รู้ผ่อนหนักผ่อนเบาอยู่ ขอแค่ลั้งอย่าคิดว่าพี่บ้าเพี้ยนไปก็แล้วกัน”
“ใครว่าล่ะ พี่น่ะขยันเหมือนอากงที่ม้าเคยเล่าให้ฟังเลย”
“คงเป็นเพราะลั้งขยันสวดมนต์มั้ง”
“ดี ฉันจะได้สวดเยอะๆแผ่บุญให้ลูก นี่ พระครูให้คาถาฉันด้วย”
“คาถาอะไร”
“คาถาร่ำรวย”
“หือ..”เนียมตาปรือเหมือนเริ่มจะง่วง “สวดไปเถอะพี่จะคอยฟัง”
...........................................
ไม่ว่าจะอยู่ในที่น้ำตื้นหรือน้ำลึกซึ่งต้องอึดหายใจยาว ในห้วงนึกของเนียมก็เหมือนเห็นได้หมดทั่วทุกทิศในท้องน้ำทั้งเวิ้งวุ้งชะวากใหญ่น้อยอันเป็นที่นอนก้นตกตะกอนของดินเลน ยิ่งทำไปยิ่งชำนาญจนมันรู้ว่าต้องเอาเท้าคลำเหยียบหยั่งดูว่ามีขวากหนามของแหลมคมสิ่งใดเป็นอันตรายบ้างแล้วจึงค่อยๆล้วงควักหรือกอบอุ้มเอาขึ้นมา อึดใจเดียวยามอยู่ใต้น้ำจากที่แต่ก่อนนั้นเคยทำได้เพียงชั่วครู่ก็กลายเป็นยาวนานจนอีกฝ่ายที่รอบนเรือตกใจ วันแล้ววันเล่า แม้จะปวดร้าวไปทั้งตัวมันกลับยิ่งพอใจฝึกตัวเองให้แกร่งเหมือนว่าวต้านลม จนกระทั่งแผงอกใหญ่ผึ่งผายทั้งกล้ามเนื้อแข็งแกร่งไปทั้งตัว
แม้จะค่ำมืดมีแค่ตะเกียงไฟฉาย และแสงเดือน มันก็ยังทำงานของมันได้ไม่รู้จักท้อ บางคราคนผ่านมาเห็นก็เข้าใจว่าสองผัวเมียออกหาปลา บางคนก็ว่ามันบ้างานเหมือนอย่างกับคนหนีภัยแล้งภัยสงครามมาจากต่างบ้านต่างเมืองก็ไม่ปาน
เวลาผ่านไปปีกว่า เนื้อที่รอบๆกระต๊อบริมคลองก็ราบเรียบเป็นหน้ากลอง สองผัวเมียเร่งทำคันดินสูงรอบด้านกันการพังทลายแล้วปลูกไม้ยืนต้นที่รากหยั่งลึกยึดคันดินจำพวก ไผ่ ชมพู่ มะม่วง มะขาม สะเดา ขี้เหล็ก และกล้วย ที่ริมน้ำยังทำสวนผักและปลูกดอกไม้แล้วปรับแต่งท่าน้ำหัวสะพานเป็นที่เจริญตา พอใส่บาตรที่ท่าน้ำแล้วอาลั้งก็จะมากรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลเสียงดังพึมพำอยู่ตรงโคนต้นมะขามหน้าบ้านเป็นประจำ แล้วอยู่มาวันหนึ่งจึงบอกกับผัวว่า
“พี่ ฉันฝันดี”
“ฝันดีว่ายังไงล่ะ”
“ฝันเห็นลูกจิน” ลั้งหัวเราะน้ำตาคลอหน่วย “เห็นลูกยิ้มมีความสุขแล้วแกก็บอกว่าอยากจะกลับมาอยู่กับพ่อแม่อีก”
“ก็ดีแล้ว”เนียมโอบกอดแล้วลูบผมเมียเบาๆแล้วชะงักเมื่อฉุกคิด“แต่เอ.. หรือว่า”
“อาจจะ สามเดือนแล้วมั๊งฉันยังไม่แน่ใจ”
“ลั้ง... เราจะมีลูก”เขาอุทานอย่างดีอกดีใจ
....................................
เนียมไม่ยอมให้เมียออกไปช่วยงานนอกบ้านอีกแล้วและตัวเขาเองก็ดูเหมือนจะมีแรงทำงานได้มากกว่าเดิมอีกหลายเท่า นอกจากมะพร้าวจะเต็มลานแล้วยังมีกองดินเลนสูงท่วมหัวคนอีกสามสี่กอง บางกองนั้นแห้งแล้วและบางกองก็ยังเปียกนิ่ม
“ดินนี่ขายไม๊”
เฮียฮง พ่อค้าเรือลากขนของถามขึ้นในตอนเช้าวันหนึ่ง
“ก็อยากจะขายนะเฮียแต่ฉันยังไม่เคยตั้งราคา”เนียมออกตัว “เฮียช่วยแนะนำฉันบ้างเถอะนะ พอให้ฉันได้มีกินมีอยู่สัมมาหาเลี้ยงลูกที่มันกำลังจะเกิดมา”
“จะเป็นไรเล่า ไอ้เนียมเอ้ย”พ่อค้าเรือยิ้มกว้าง “ข้าจะช่วยคิดนะ ข้าว่าดินแห้งนี่ตั้งราคาพอๆกับดินถมที่ทั่วไปก่อนพอให้คนรู้จักเรา คนที่รู้เรื่องปลูกต้นไม้ดีเขาน่าจะรู้ว่ามีปุ๋ยดีกว่า ส่วนดินเปียกนี่ข้าจะลองให้เขาใส่ถุงไปวางขายสนามหลวงดู”
จากวันนั้นก็มีคนสั่งดินเข้ามาเรื่อยจนหาให้แทบไม่ทันต้องไปว่าจ้างเด็กวัดและชาวบ้านหกเจ็ดคนมาช่วย ฝ่ายอาลั้งก็ขยันใส่บาตรทำบุญและสวดมนต์ไหว้พระมากขึ้นจนได้ลูกสาวสมใจทั้งสองจึงพากันตั้งชื่อว่า“ลูกเอื้อมหรือเอื้อมพร”
ผู้คนทั้งหลายเริ่มจะเห็นคุณค่าของดินเลนพร้อมกับไอ้เนียมคนยากแห่งคลองมหาสวัสดิ์ว่ามันช่างมีอัธยาศัยและเป็นคนที่รักษาสัญญาจนขึ้นชื่อ มาถึงวันนี้แล้วต่อให้เนียมสั่งดินจากที่อื่นมาขายผู้คนเขาก็ยังยินดีที่จะซื้อกับเนียมเป๋ ในที่สุดเขากับเมียจึงปรึกษากันว่าจะหารถดั๊มซักคัน
“เนียมจะออกกี่คันล่ะ”เสี่ยจึง เถ้าแก่ใหญ่แห่งนครปฐมถาม
“คันเดียวครับเสี่ย เอาพอผ่อนได้”เนียมตอบอย่างเจียมตัว
“สำหรับคนอย่างลื้อ ห้าคันอั๊วก็ให้ได้เลย เอาไหมล่ะ”
“อย่าล้อเล่นสิครับเสี่ย ผมมันไม่มีหลักทรัพย์อะไร”
“ไม่ได้ล้อเล่น”เสี่ยจึงหัวเราะ “อั๊วรู้จักคนอย่างลื้อแค่นี้ก็พอแล้ว อาฮงกับพระครูอั๊วก็รู้จักดี”
“ถ้าออกสองคันจะเสี่ยงไปรึเปล่านะ”
“ซักสามเถอะ จะได้สู้ตลาดเขาได้ มีอะไรก็ปรึกษาอาฮงได้นี่นา”
มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์แท้ จนเนียมไม่อยากเชื่อ เพียงไม่กี่ปีเขาได้งานรับเหมาถมที่ตั้งยี่สิบกว่าแห่งจนเงินทองไหลเข้ามามากพอที่จะซื้อที่ริมคลองเพิ่มขึ้นอีกเจ็ดไร่
.....................................................
ดวงตาที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดลอกต้อกระจกมาไม่นานทำให้คนอายุร่วมแปดสิบอย่างเขาได้เห็นโลกสดใสพอๆกับเมื่อตอนห้าสิบกว่า เบื้องหน้า หลานชายนักว่ายน้ำวัยสิบแปดปีคุกเข่าลงตรงหน้ารถเข็นวิลแชร์พร้อมกราบลงที่ตักแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ผมต้องลบสถิติเดิมของตังเองให้ได้ แต่ต้องขอรับพรจากคุณปู่ก่อนเพราะว่าปอดที่แข็งแรงยอดเยี่ยมของผมได้รับการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ คือ ดี เอ็น เอ มาจากคุณปู่”
“ขอให้สำเร็จสมความตั้งใจนะลูก”
เด็กหญิงชั้นอนุบาลก็กระแซะเข้ามาเกาะแขนปู่บ้างก่อนจะเอ่ยถามว่า
“แล้วหนูได้รับ ดี เอ็น เอ จากคุณปู่ไม๊”
“ได้สิลูก”ผู้เป็นพ่อที่ยืนอยู่ด้านหลังตอบให้แทน “อยู่ในตัวหนูเรียบร้อยแล้ว”
“คุณพ่อขา”เด็กหญิงช่างซักต่อ “คุณปู่ทำ ดี เอ็น เอ ยากไม๊คะ”
“ยากมากลูก แล้วพ่อจะเล่าให้ฟัง อย่าเพิ่งไปกวนคุณปู่”
จากนั้น ทั้ง พ่อ แม่ และน้องสาวคนเล็กชั้นประถมก็พากันตามไปเชียร์ เขายังแลเห็นรถเก๋งสีเทาวิ่งเลียบคลองไปอย่างช้าๆจนลับไปจากสายตา
จากสวนลอยฟ้าบนตึกชั้นห้า เขาทอดสายตามองแนวคดโค้งของ ลำคลองมหาสวัสดิ์ เห็นมีแต่คุ้งน้ำหน้าวัดบริเวณท่าข้ามที่มีต้นไทรใหญ่เท่านั้นแหละที่ยังเหลือสภาพคล้ายเมื่อห้าสิบปีก่อนอยู่บ้าง ทำให้หวนนึกย้อนไปถึงชีวิตในอดีตของเขา ไอ้เนียมคนยากผู้ซึ่งผุดดำผุดว่ายอยู่อย่างนั้นวันแล้ววันเล่า..
ผลงานของ ชุนคำ จิตจักร
ลงพิมพ์ในนิตยสารมหามงคล ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 ประจำเดือนมกราคม 2553